วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เค้าโครงโครงงานคอมพิวเตอร์

เค้าโครงโครงงานคอมพิวเตอร์

โครงงานคอมพิวเตอร์
กลุ่มที่ 3
รายชื่อสมาชิก : นายพชรพล  อภินันทชาติ  เลขที่ 9
นางสาวศศิธร  กาญจนกุล  เลขที่ 18
นางสาวกชลัด  มงคลอจลา เลขที่ 30
ชั้นม.5/12
วิธีดำเนินงาน
1.เลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจ
2.ประชุมกันในกลุ่มเพื่อแบ่งหน่าที่ในการทำงานและให้ทุกคนหาข้อมูลในการดำเนินงานครั้งนี้ ได้แก่
- ศึกษาข้อมูลปัญหาความสะอาดในโรงเรียน
- ทำแบบประเมินเกี่ยวกับปัญหาความสะอาดในโรงเรียน
- ศึกษาวิธีการสร้างหนังสั้น องค์ประกอบของหนังสั้น
- ศึกษาวิธีการเขียนบทที่ดีและมุมกล้องในการถ่ายทำ
- ศึกษาโปรแกรมที่ใช้ในการตัดต่อและสร้างหนังสั้น
3.รวบรวมและเรียบเรียงข้อมูล วิเคราะห์ปัญหาและแนวทางแก้ไข
4.ร่างแบบเค้าโครงโครงงานอย่างคร่าวๆ
5.นำร่างเค้าโครงไปปรึกษาอาจารย์ เพื่อรับคำแนะนำและข้อควรปรับปรุง
6.นำคำแนะนำและข้อควรปรับปรุงในการทำโครงงานจากอาจารย์มาใช้ในการแก้ไขโครงงาน
7.ลงมือถ่ายทำและตัดต่อหนังสั้น
8.นำเสนอโครงงานและแก้ไขพัฒนาข้อบกพร่องต่อไป
ผลการดำเนินการ
จากการที่ได้ลงมือศึกษาและทำโครงงานชิ้นนี้ทำให้พวกเราได้รับความรู้ในหลายๆอย่างเช่น
1.รู้ถึงปัญหาความสะอาดในโรงเรียน สาเหตุที่เกิดปัญหา และทำให้เกิดกระบวนการคิดในการช่วยกันคิดหาแนวทางแก้ไขปัญหา
2.รู้ขั้นตอนวิธีทำหนังสั้น และสามารถนำความรู้ไปใช้ในการเพิ่มรูปแบบการนำเสนองานหน้าชั้นเรียนในวิชาอื่นๆให้มีความน่าสนใจมากขึ้นจากการศึกษาการทำหนังสั้น
3.ได้ลงมือปฏิบัติงานจริงในการเก็บแบบประเมิน ฝึกทักษะในด้านต่างๆได้จริง
4.ฝึกความรับผิดชอบ ความสามัคคีและการทำงานร่วมกัน
แหล่งเรียนรู้
1.ศึกษาจากรุ่นพี่ที่เคยมีประสบการณ์ในการทำหนังสั้น
2.ศึกษาจากเว็บไซต์ต่างๆหรือช่องทางอื่น เช่น youtube เป็นต้น
3.ศึกษาจากเว็บไซต์อาจารย์และปรึกษาอาจารย์ให้ช่วยแนะนำวิธีการทำหนังสั้น

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ ตามนโยบายของ คสช.






1. มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2. ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในสิ่งที่ดีงามเพื่อส่วนรวม
3. กตัญญูต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์
4. ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้งทางตรง และทางอ้อม
5. รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทยอันงดงาม
6. มีศีลธรรม รักษาความสัตย์ หวังดีต่อผู้อื่น เผื่อแผ่และแบ่งปัน
7. เข้าใจเรียนรู้การเป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกต้อง
8. มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่
9. มีสติรู้ตัว รู้คิด รู้ทำ รู้ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
10. รู้จักดำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รู้จักอดออมไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น มีไว้พอกินพอใช้ ถ้าเหลือก็แจกจ่ายจำหน่าย และพร้อมที่จะขยายกิจการเมื่อมีความพร้อม เมื่อมีภูมิคุ้มกันที่ดี
11. มีความเข้มแข็งทั้งร่างกาย และจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออ านาจฝ่ายต่ า หรือกิเลส มีความละอายเกรงกลัวต่อบาปตามหลักของศาสนา
12. คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม และของชาติมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง

ที่มา  :  http://www.mnre.go.th/ewt_news.php?nid=3230

การอนามัยสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน

เป็นการจัดสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียน ให้ถูกสุขลักษณะ ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ คือ

1.สถานที่ตั้งควรอยู่ในชุมชน ไม่เสี่ยงต่ออันตราย ไม่อยู่ใกล้ทางรถไฟและการจราจรไม่คับคั่ง มีรั้วป้องกันอันตราย

2.อาคารเรียนไม่แออัด มั่นคง แข็งแรง รับน้ำหนักได้จำนวนมาก ทนต่อภัยธรรมชาติ

3.พื้นที่ใช้สอยและอุปกรณ์เครื่องใช้ห้องเรียน ห้องส้วม ห้องครัวและโรงอาหาร รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ มีการดูแลให้ได้มาตรฐาน และถูกสุขลักษณะอยู่เสมอ

4.การระบายอากาศ แสงสว่างและเสียงมีการระบายอากาศดี ควรรับลมจากธรรมชาติ มีแสงสว่างเพียงพอต่อการอ่านหนังสือและทำกิจกรรมของเด็ก เสียงไม่ดังรบกวนการเรียนของเด็ก

5.น้ำดื่ม-น้ำใช้สะอาด เพียงพอ และปรับปรุงคุณภาพก่อนนำมาดื่มและใช้

6.การจัดการขยะแยกประเภทถังขยะ มีฝาปิด ไม่รั่ว มีถุงรองรับเพื่อเก็บขน ลดการผลิตขยะ นำขยะมารีไซเคิลให้เกิดประโยชน์

7.การจัดการน้ำเสียมีการกำจัดเศษอาหาร ใช้บ่อดักไขมัน น้ำเสียจากส้วมบำบัดให้ถูกต้อง

8.การควบคุมและกำจัดแมลง สัตว์พาหะนำโรคใช้วิธีทางกายภาพและทางเคมี เช่น ใช้ตาข่ายดัก ใช้กาวดัก และดูแลสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงและสัตว์นำโรค

9.สภาพแวดล้อมและความปลอดภัยในโรงเรียนดูแลรักษาอุปกรณ์ในชั้นเรียนให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ระมัดระวังเรื่องระบบไฟฟ้า ควรเก็บสารเคมีต่างๆให้พ้นจากมือเด็ก จัดสภาพแวดล้อมให้ถูกสุขลักษณะ รักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอและส่งเสริมด้านพฤติกรรมอนามัยให้แก่เด็ก


ที่มา  :  http://www.anamai.moph.go.th/ewt_news.php?nid=1922

เรื่อง การดูแลสิ่งแวดล้อมที่บ้านและโรงเรียน

การดูแลสิ่งแวดล้อมที่บ้าน
บ้านเป็นสิ่งแวดล้อมแรกของเรา  เราใช้บ้านเป็นที่พักอาศัย  นอนหลับพักผ่อน และหลบภัยอันตรายต่าง ๆ ถ้าบ้านสะอาดปลอดภัย ทุกคนที่อยู่อาศัยย่อมมีความสุขและมีสุขภาพดี  เราควรดูแลบ้านให้น่าอยู่  โดยปฏิบัติดังนี้ 
1. ทำความสะอาดบริเวณต่าง ๆ ภายในบ้าน
2.  ทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้
3.  จัดสิ่งของให้เป็นระเบียบ
4. สร้างการระบายอากาศที่ดีให้กับบ้านโดยเปิดประตูหน้าต่าง
5. กำจัดขยะและแหล่งน้ำท่วมขัง

การดูแลสิ่งแวดล้อมที่โรงเรียน
โรงเรียนเป็นสิ่งแวดล้อมที่เราคุ้นเคย เพราะในแต่ละวันเราใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงเรียน เช่น เรียนหนังสือ เล่นกีฬา ทำงานร่วมกับเพื่อน เป็นต้น เราจึงควรดูแลทุกส่วนของโรงเรียนให้สะอาด
โดยปฏิบัติดังนี้
1. ดูแลห้องเรียนให้สะอาด โดยการปัด กวาด เช็ด ถู พื้นห้องให้สะอาด
2. รักษาความสะอาดของห้องน้ำ
3. รักษาความสะอาดบริเวณโรงเรียนโดยทิ้งขยะลงถัง
4. เมื่อพบเห็นสิ่งอันตรายที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุให้รีบแจ้งครู เช่น ปลั๊กไฟ หลอดไฟชำรุด เป็นต้น
5. ไม่เด็ดดอกไม้หรือทำลายต้นไม้ของโรงเรียน รวมทั้งไม่ทำให้สิ่งของโรงเรียนเสียหาย

ที่มา  :  http://www.sahavicha.com/?name=test&file=readtest&id=2336

ความสะอาดสำคัญเพียงไร?

          ความสะอาดมีความหมายต่างกันสำหรับแต่ละคนไป. ตัวอย่างเช่น เมื่อแม่สั่งลูกชายตัวน้อยให้ไปล้างมือล้างหน้า หนูน้อยอาจคิดว่าแค่เปิดน้ำก๊อกใส่มือกับลูบให้ริมฝีปากเปียกน้ำก็พอแล้ว. ทว่าผู้เป็นแม่รู้ดีกว่า. เธอพาลูกกลับไปที่ห้องน้ำ แล้วเอาน้ำกับสบู่มากพอล้างมือล้างหน้าลูกจนสะอาด—แม้ว่าลูกชายไม่ค่อยจะยอมและร้องเสียงดัง!

          แน่นอน มาตรฐานด้านความสะอาดไม่เหมือนกันทั่วโลก และผู้คนเติบโตขึ้นพร้อมกับแนวคิดที่แตกต่างกันในเรื่องความสะอาด. ในอดีต บริเวณรอบ ๆ โรงเรียนที่สะอาดเรียบร้อยในหลายประเทศได้ช่วยนักเรียนให้พัฒนานิสัยที่ดีเรื่องความสะอาด. ปัจจุบัน บริเวณสนามของบางโรงเรียนเต็มไปด้วยเศษขยะและซากสิ่งของที่ทับถมกันอยู่จนทำให้สนามนั้นคล้ายกับเป็นที่ทิ้งขยะมากกว่าจะเป็นสถานที่สำหรับเล่นหรือออกกำลัง. และห้องเรียนล่ะเป็นอย่างไร? แดร์เรน ภารโรงคนหนึ่งในโรงเรียนมัธยมของออสเตรเลียได้กล่าวว่า ปัจจุบันเราเห็นความโสโครกในห้องเรียนด้วยเช่นกัน.นักเรียนบางคนถือว่าคำสั่งที่ให้ เก็บข้าวของที่ทิ้งไว้เกลื่อนกลาดหรือ ทำความสะอาดเป็นการลงโทษ. ปัญหาคือครูบางคนใช้การทำความสะอาดเป็นวิธีลงโทษ

           ในอีกด้านหนึ่ง พวกผู้ใหญ่ก็ใช่ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีเสมอไปในเรื่องความสะอาด ไม่ว่าในชีวิตประจำวันหรือในวงการธุรกิจ. ตัวอย่างเช่น ที่สาธารณะหลายแห่งถูกปล่อยให้สกปรกรกรุงรังและไม่น่าดู. อุตสาหกรรมบางประเภททำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม. อย่างไรก็ดี ภาวะมลพิษเกิดขึ้นไม่ใช่เนื่องจากอุตสาหกรรมและธุรกิจที่ในตัวมันเองแล้วไม่มีชีวิต แต่เกิดจากผู้คน. ถึงแม้ความโลภอาจเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาเกี่ยวกับภาวะมลพิษทั่วโลกและผลกระทบอันเลวร้ายหลายอย่างของมันก็ตาม ส่วนหนึ่งของปัญหาคือผลสืบเนื่องจากนิสัยส่วนตัวที่ไม่สะอาด. อดีตผู้อำนวยการใหญ่ของเครือรัฐออสเตรเลียได้สนับสนุนข้อสรุปนี้เมื่อเขากล่าวว่า ปัญหาทั้งหมดเกี่ยวกับสาธารณสุขสรุปได้ว่า เป็นเรื่องการดูแลเอาใจใส่เรื่องความสะอาดของผู้ชาย, ผู้หญิง, และเด็ก ๆ ทุกคน.

          ถึงกระนั้น บางคนรู้สึกว่าความสะอาดเป็นเรื่องส่วนตัวและไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับคนอื่น. เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ไหม?

ความสะอาดนับว่าสำคัญมากทีเดียวในเรื่องอาหารที่เรารับประทาน ไม่ว่าเราซื้อที่ตลาด, รับประทานที่ภัตตาคาร, หรือที่บ้านเพื่อน. คนเหล่านั้นที่จับต้องหรือเสิร์ฟอาหารที่เรารับประทานต้องมีมาตรฐานสูงในเรื่องความสะอาด. มือที่สกปรกไม่ว่ามือคนที่จับต้องและเสิร์ฟอาหารหรือมือของผู้รับประทาน อาจเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยหลายอย่าง. จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับโรงพยาบาล สถานที่ซึ่งเราคาดว่าจะพบความสะอาดยิ่งกว่าที่อื่นใด? วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ (ภาษาอังกฤษ) รายงานว่า การที่แพทย์และพยาบาลไม่ล้างมืออาจช่วยอธิบายสาเหตุที่คนไข้ในโรงพยาบาลเกิดการติดเชื้อซึ่งทำให้สูญเสียเงินไปถึงปีละหมื่นล้านเหรียญสหรัฐในการรักษา. เป็นการถูกต้องที่เราจะคาดว่าไม่มีใครจะทำให้สุขภาพของเราเป็นอันตรายโดยนิสัยที่ไม่สะอาดของเขา

          เป็นเรื่องร้ายแรงมากด้วยเช่นกันเมื่อมีคนทำให้แหล่งน้ำของเราเกิดมลพิษ ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือโดยสะเพร่า. และจะปลอดภัยแค่ไหนในการเดินเล่นเท้าเปล่าไปตามชายหาดที่เราอาจพบเข็มฉีดยาใช้แล้วซึ่งผู้ใช้ยาเสพติดหรือคนอื่นโยนทิ้งไว้? บางทีที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีกสำหรับแต่ละคนเป็นส่วนตัวก็คือคำถามที่ว่า มีการรักษาความสะอาดเป็นนิสัยในบ้านของเราเองไหม?

          ในหนังสือของเธอที่ชื่อการกำจัดความสกปรก (ภาษาอังกฤษ) ซูเอเลน ฮอยตั้งคำถามว่า “เราสะอาดอย่างที่เคยเป็นไหม?” เธอตอบว่า “คงจะไม่.” เธออ้างถึงค่านิยมทางสังคมที่เปลี่ยนไปว่าเป็นสาเหตุสำคัญ. เนื่องจากผู้คนใช้เวลาอยู่บ้านน้อยลงทุกที เขาเพียงแต่จ่ายเงินเพื่อให้คนอื่นทำความสะอาดให้เขา. เพราะฉะนั้น การรักษาสิ่งแวดล้อมให้สะอาดไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับตัวเองอีกต่อไป. ชายคนหนึ่งบอกว่า “ผมไม่ได้ทำความสะอาดห้องน้ำ ผมอาบน้ำให้ตัวเองสะอาด. อย่างน้อย แม้บ้านผมสกปรก แต่ตัวผมสะอาด.”

          อย่างไรก็ดี ความสะอาดมิใช่เป็นแค่ลักษณะภายนอกเท่านั้น. ความสะอาดเป็นหลักจรรยาครอบคลุมการดำเนินชีวิตที่มีสุขภาพดี. ความสะอาดยังเป็นสภาพของจิตใจและหัวใจที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรมและการนมัสการของเรา. ให้เราพิจารณาว่าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร.

ที่มา  :  http://wol.jw.org/th/wol/d/r113/lp-si/2002080


การปรังปรุงดูแลสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน

         การดูแลปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ในโรงเรียนเป็นหน้าที่ของทุกคนในโรงเรียนรวมทั้งตัวนักเรียนด้วย ควรจะมีส่วนร่วมและมีบทบาทไปตามหน้าที่และจิตสำนึกของตนเอง สำหรับสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนที่ดีและการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมมีดังนี้
1.ตัวอาคารเรียน ควรสะอาดไม่ว่าจะเป็นข้างฝา เพดาน พื้นควรปราศจากขยะ หมั่นปัดกวาดเช็ดถูอยู่เสมอ ข้างฝาต้องไม่ขีดเขียน เพดานไม่ควรมีหยากไย่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของนักเรียนที่ต้องช่วยกันดูแลทำความสะอาดในส่วนของห้องเรียน ส่วนพื้นที่ส่วนรวมก็เป็นหน้าที่ของนักการภารโรง ถ้าสีภายนอกอาคารเรียนและภายในดูทรุดโทรมก็ควรจะทาสีใหมและสีที่ใช้ควรเป็นสีสว่าง
2.โต๊ะ เก้าอี้และกระดานดำ โต๊ะเรียนต้องสะอาด นักเรียนไม่ควรขีดเขียน หรือใช้ยาลบคำผิดขีดเขียนลงบนโต๊ะ ถ้ามีก็ควรจะขัดและทาน้ำมันให้แลดูสะอาด รางชอล์กก็ควรสะอาดอย่าปล่อยให้ผงชอล์กมีอยู่ในรางชอล์ก
3.บรรยากาศภายในห้องเรียน ควรมีแสงสว่างเพียงพอต่อสายตาในการเขียนและการอ่าน มีการระบายอากาศดี อาจใช้พัดลมช่วยทำให้เย็นและระบายอากาศ
4.ห้องส้วมและที่ปัสสาวะ ห้องส้วม อาจมีทั้งภายในตัวอาคารและเป็นอาคารแยกต่างหาก ต้องรักษาความสะอาดของห้องส้วมและที่ปัสสาวะให้สะอาดอยู่เสมอ นักการภารโรงควรทำความสะอาดบ่อยๆ นักเรียนก็ควรช่วยกันรักษาความสะอาดด้วยเช่น หลังการใช้ควรราดส้วมให้สะอาด ไม่ทิ้งผ้าอนามัยลงในคอห่านหรือโถส้วมแต่ควรห่อกระดาษแล้วทิ้งลงในถังขยะ
5.โรงอาหาร ต้องจัดให้ถูกหลักการสุขาภิบาลเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการร้านค้าในโรงอาหาร จะต้องช่วยกันทั้งในส่วนของตนเองและส่วนร่วมนักเรียนที่ใช้บริการที่ี่โรงอาหารควรจะปฏิบัติตามกฏระเบียบของโรงเรียนเช่น นำภาชนะไปวางในที่ที่จัดไว้ให้ เข้าคิวเพื่อซื้ออาหาร ไม่ทำให้โต๊ะอาหารหรือพื้นเปื้อนเศษอาหาร เป็นต้น
6.การระบายน้ำ ต้องมีท่อระบายน้ำหรือรางระบายน้ำ เมื่อฝนตกแล้วน้ำไม่ท่วมขังและต้องไม่มีน้ำขังในรางระบายน้ำเพราะอาจเน่าเสียส่งกลิ่นเหม็นและเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงและสัตว์นำโรค
7.การกำจัดขยะมูลฝอย โรงเรียนต้องมีถังขยะที่เพียงพอนักเรียนเองก็ควรทิ้งขยะลงถัง ทิ้งให้เป็นที่เป็นทางและแยกขยะให้ถูก เพื่อง่ายแก่การกำจัด และควรปลูกฝังให้นักเรียนรักษาความสะอาด มีจิตใจที่รักความสะอาดทั้งต่อหน้าและลับหลัง
8.การรักษาความสะอาดโดยทั่วไปเป็นหน้าที่โดยตรงของนักการภารโรงแต่นักเรียนก็ควรช่วยรักษาความสะอาดด้วยนอกจากจะไม่ทิ้งขยะโดยไม่เลือกที่แล้ว ถ้ามีโอกาสก็ควรจะช่วย
ทำความสะอาดหรือร่วมพัฒนาความสะอาดของโรงเรียนด้วย

9.สนามกีฬาก็ควรช่วยกันรักษาความสะอาด และช่วยกันดูแลจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมไม่ควรนำอาหารเข้าไปรับประทานที่สนามกีฬา
10.สภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนโดยทั่วไป ควรปลูกต้นไม้ให้ร่มรื่น
ตามสภาพของโรงเรียนที่พอจะทำได้  มีการจัดสวนหย่อมจัดที่นั่งพักผ่อน
สำหรับนักเรียน ตลอดจนบรรยากาศต่างๆ ที่จะช่วยส่งเสริมสุขภาพกาย
และสุขภาพจิตของนักเรียนให้เข้ามาอยู่ในโรงเรียนแล้วมีความสุข 
อยากที่จะมาโรงเรียนเพราะชอบบรรยากาศของโรงเรียนและเกิดความรัก
ความภาคภูมิใจในโรงเรียน



ที่มา  :  http://songchai.rwb.ac.th/a13/13-3.htm














การรักษาความสะอาดในโรงเรียน

การรักษาความสะอาดในโรงเรียนโดยให้เด็กมีจิตสำนึกร่วมมือร่วมใจมุ่งให้เด็กเปลี่ยนพฤติกรรมจากการฝึกปฏิบัติด้วยวิธีการที่หลากหลายเลียนแบบจากตัวอย่างที่ดี มีพี่คอยแนะนำและสามารถบูรณาการใช้ในการเรียนการสอน ความสะอาดจะเกิดขึ้นและมีความรับผิดชอบในตัวเอง นำความพึงพอใจสู่สถานศึกษาและชุมชน

แนวปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมาย
1.สร้างจิตสำนึกโดยฝึกให้เด็กมีความรับผิดชอบ รักษาความสะอาด มีระเบียบวินัย
2.ฝึกปฏิบัติโดยใช้ขยะเป็นปุ๋ย วิธีเก็บโดยใช้ไม้เสียบ ใช้ผ้าชุบนำเช็ดถูพื้น ใช้ไม้กวาดทุกซอกทุกมุม ใช้เทียนไขผสมนำมันถูพื้น ใช้ผ้าสะอาดเช็ดถู
3.ประสานใจโดยทำเป็นตัวอย่าง พี่ปกครองน้อง บูรณาการการสอนในวิชาต่างๆโดยใช้ของเป็นสื่อปฏิบัติตามข้อตกลง
4.ผลสำเร็จ เด็กมีความรับผิดชอบในตนเอง เกิดคุณธรรม จริยธรรม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

ที่มา  :  https://www.gotoknow.org/posts/53434