วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ ตามนโยบายของ คสช.






1. มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2. ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในสิ่งที่ดีงามเพื่อส่วนรวม
3. กตัญญูต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์
4. ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้งทางตรง และทางอ้อม
5. รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทยอันงดงาม
6. มีศีลธรรม รักษาความสัตย์ หวังดีต่อผู้อื่น เผื่อแผ่และแบ่งปัน
7. เข้าใจเรียนรู้การเป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกต้อง
8. มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่
9. มีสติรู้ตัว รู้คิด รู้ทำ รู้ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
10. รู้จักดำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รู้จักอดออมไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น มีไว้พอกินพอใช้ ถ้าเหลือก็แจกจ่ายจำหน่าย และพร้อมที่จะขยายกิจการเมื่อมีความพร้อม เมื่อมีภูมิคุ้มกันที่ดี
11. มีความเข้มแข็งทั้งร่างกาย และจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออ านาจฝ่ายต่ า หรือกิเลส มีความละอายเกรงกลัวต่อบาปตามหลักของศาสนา
12. คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม และของชาติมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง

ที่มา  :  http://www.mnre.go.th/ewt_news.php?nid=3230

การอนามัยสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน

เป็นการจัดสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียน ให้ถูกสุขลักษณะ ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ คือ

1.สถานที่ตั้งควรอยู่ในชุมชน ไม่เสี่ยงต่ออันตราย ไม่อยู่ใกล้ทางรถไฟและการจราจรไม่คับคั่ง มีรั้วป้องกันอันตราย

2.อาคารเรียนไม่แออัด มั่นคง แข็งแรง รับน้ำหนักได้จำนวนมาก ทนต่อภัยธรรมชาติ

3.พื้นที่ใช้สอยและอุปกรณ์เครื่องใช้ห้องเรียน ห้องส้วม ห้องครัวและโรงอาหาร รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ มีการดูแลให้ได้มาตรฐาน และถูกสุขลักษณะอยู่เสมอ

4.การระบายอากาศ แสงสว่างและเสียงมีการระบายอากาศดี ควรรับลมจากธรรมชาติ มีแสงสว่างเพียงพอต่อการอ่านหนังสือและทำกิจกรรมของเด็ก เสียงไม่ดังรบกวนการเรียนของเด็ก

5.น้ำดื่ม-น้ำใช้สะอาด เพียงพอ และปรับปรุงคุณภาพก่อนนำมาดื่มและใช้

6.การจัดการขยะแยกประเภทถังขยะ มีฝาปิด ไม่รั่ว มีถุงรองรับเพื่อเก็บขน ลดการผลิตขยะ นำขยะมารีไซเคิลให้เกิดประโยชน์

7.การจัดการน้ำเสียมีการกำจัดเศษอาหาร ใช้บ่อดักไขมัน น้ำเสียจากส้วมบำบัดให้ถูกต้อง

8.การควบคุมและกำจัดแมลง สัตว์พาหะนำโรคใช้วิธีทางกายภาพและทางเคมี เช่น ใช้ตาข่ายดัก ใช้กาวดัก และดูแลสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงและสัตว์นำโรค

9.สภาพแวดล้อมและความปลอดภัยในโรงเรียนดูแลรักษาอุปกรณ์ในชั้นเรียนให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ระมัดระวังเรื่องระบบไฟฟ้า ควรเก็บสารเคมีต่างๆให้พ้นจากมือเด็ก จัดสภาพแวดล้อมให้ถูกสุขลักษณะ รักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอและส่งเสริมด้านพฤติกรรมอนามัยให้แก่เด็ก


ที่มา  :  http://www.anamai.moph.go.th/ewt_news.php?nid=1922

เรื่อง การดูแลสิ่งแวดล้อมที่บ้านและโรงเรียน

การดูแลสิ่งแวดล้อมที่บ้าน
บ้านเป็นสิ่งแวดล้อมแรกของเรา  เราใช้บ้านเป็นที่พักอาศัย  นอนหลับพักผ่อน และหลบภัยอันตรายต่าง ๆ ถ้าบ้านสะอาดปลอดภัย ทุกคนที่อยู่อาศัยย่อมมีความสุขและมีสุขภาพดี  เราควรดูแลบ้านให้น่าอยู่  โดยปฏิบัติดังนี้ 
1. ทำความสะอาดบริเวณต่าง ๆ ภายในบ้าน
2.  ทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้
3.  จัดสิ่งของให้เป็นระเบียบ
4. สร้างการระบายอากาศที่ดีให้กับบ้านโดยเปิดประตูหน้าต่าง
5. กำจัดขยะและแหล่งน้ำท่วมขัง

การดูแลสิ่งแวดล้อมที่โรงเรียน
โรงเรียนเป็นสิ่งแวดล้อมที่เราคุ้นเคย เพราะในแต่ละวันเราใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงเรียน เช่น เรียนหนังสือ เล่นกีฬา ทำงานร่วมกับเพื่อน เป็นต้น เราจึงควรดูแลทุกส่วนของโรงเรียนให้สะอาด
โดยปฏิบัติดังนี้
1. ดูแลห้องเรียนให้สะอาด โดยการปัด กวาด เช็ด ถู พื้นห้องให้สะอาด
2. รักษาความสะอาดของห้องน้ำ
3. รักษาความสะอาดบริเวณโรงเรียนโดยทิ้งขยะลงถัง
4. เมื่อพบเห็นสิ่งอันตรายที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุให้รีบแจ้งครู เช่น ปลั๊กไฟ หลอดไฟชำรุด เป็นต้น
5. ไม่เด็ดดอกไม้หรือทำลายต้นไม้ของโรงเรียน รวมทั้งไม่ทำให้สิ่งของโรงเรียนเสียหาย

ที่มา  :  http://www.sahavicha.com/?name=test&file=readtest&id=2336

ความสะอาดสำคัญเพียงไร?

          ความสะอาดมีความหมายต่างกันสำหรับแต่ละคนไป. ตัวอย่างเช่น เมื่อแม่สั่งลูกชายตัวน้อยให้ไปล้างมือล้างหน้า หนูน้อยอาจคิดว่าแค่เปิดน้ำก๊อกใส่มือกับลูบให้ริมฝีปากเปียกน้ำก็พอแล้ว. ทว่าผู้เป็นแม่รู้ดีกว่า. เธอพาลูกกลับไปที่ห้องน้ำ แล้วเอาน้ำกับสบู่มากพอล้างมือล้างหน้าลูกจนสะอาด—แม้ว่าลูกชายไม่ค่อยจะยอมและร้องเสียงดัง!

          แน่นอน มาตรฐานด้านความสะอาดไม่เหมือนกันทั่วโลก และผู้คนเติบโตขึ้นพร้อมกับแนวคิดที่แตกต่างกันในเรื่องความสะอาด. ในอดีต บริเวณรอบ ๆ โรงเรียนที่สะอาดเรียบร้อยในหลายประเทศได้ช่วยนักเรียนให้พัฒนานิสัยที่ดีเรื่องความสะอาด. ปัจจุบัน บริเวณสนามของบางโรงเรียนเต็มไปด้วยเศษขยะและซากสิ่งของที่ทับถมกันอยู่จนทำให้สนามนั้นคล้ายกับเป็นที่ทิ้งขยะมากกว่าจะเป็นสถานที่สำหรับเล่นหรือออกกำลัง. และห้องเรียนล่ะเป็นอย่างไร? แดร์เรน ภารโรงคนหนึ่งในโรงเรียนมัธยมของออสเตรเลียได้กล่าวว่า ปัจจุบันเราเห็นความโสโครกในห้องเรียนด้วยเช่นกัน.นักเรียนบางคนถือว่าคำสั่งที่ให้ เก็บข้าวของที่ทิ้งไว้เกลื่อนกลาดหรือ ทำความสะอาดเป็นการลงโทษ. ปัญหาคือครูบางคนใช้การทำความสะอาดเป็นวิธีลงโทษ

           ในอีกด้านหนึ่ง พวกผู้ใหญ่ก็ใช่ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีเสมอไปในเรื่องความสะอาด ไม่ว่าในชีวิตประจำวันหรือในวงการธุรกิจ. ตัวอย่างเช่น ที่สาธารณะหลายแห่งถูกปล่อยให้สกปรกรกรุงรังและไม่น่าดู. อุตสาหกรรมบางประเภททำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม. อย่างไรก็ดี ภาวะมลพิษเกิดขึ้นไม่ใช่เนื่องจากอุตสาหกรรมและธุรกิจที่ในตัวมันเองแล้วไม่มีชีวิต แต่เกิดจากผู้คน. ถึงแม้ความโลภอาจเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาเกี่ยวกับภาวะมลพิษทั่วโลกและผลกระทบอันเลวร้ายหลายอย่างของมันก็ตาม ส่วนหนึ่งของปัญหาคือผลสืบเนื่องจากนิสัยส่วนตัวที่ไม่สะอาด. อดีตผู้อำนวยการใหญ่ของเครือรัฐออสเตรเลียได้สนับสนุนข้อสรุปนี้เมื่อเขากล่าวว่า ปัญหาทั้งหมดเกี่ยวกับสาธารณสุขสรุปได้ว่า เป็นเรื่องการดูแลเอาใจใส่เรื่องความสะอาดของผู้ชาย, ผู้หญิง, และเด็ก ๆ ทุกคน.

          ถึงกระนั้น บางคนรู้สึกว่าความสะอาดเป็นเรื่องส่วนตัวและไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับคนอื่น. เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ไหม?

ความสะอาดนับว่าสำคัญมากทีเดียวในเรื่องอาหารที่เรารับประทาน ไม่ว่าเราซื้อที่ตลาด, รับประทานที่ภัตตาคาร, หรือที่บ้านเพื่อน. คนเหล่านั้นที่จับต้องหรือเสิร์ฟอาหารที่เรารับประทานต้องมีมาตรฐานสูงในเรื่องความสะอาด. มือที่สกปรกไม่ว่ามือคนที่จับต้องและเสิร์ฟอาหารหรือมือของผู้รับประทาน อาจเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยหลายอย่าง. จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับโรงพยาบาล สถานที่ซึ่งเราคาดว่าจะพบความสะอาดยิ่งกว่าที่อื่นใด? วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ (ภาษาอังกฤษ) รายงานว่า การที่แพทย์และพยาบาลไม่ล้างมืออาจช่วยอธิบายสาเหตุที่คนไข้ในโรงพยาบาลเกิดการติดเชื้อซึ่งทำให้สูญเสียเงินไปถึงปีละหมื่นล้านเหรียญสหรัฐในการรักษา. เป็นการถูกต้องที่เราจะคาดว่าไม่มีใครจะทำให้สุขภาพของเราเป็นอันตรายโดยนิสัยที่ไม่สะอาดของเขา

          เป็นเรื่องร้ายแรงมากด้วยเช่นกันเมื่อมีคนทำให้แหล่งน้ำของเราเกิดมลพิษ ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือโดยสะเพร่า. และจะปลอดภัยแค่ไหนในการเดินเล่นเท้าเปล่าไปตามชายหาดที่เราอาจพบเข็มฉีดยาใช้แล้วซึ่งผู้ใช้ยาเสพติดหรือคนอื่นโยนทิ้งไว้? บางทีที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีกสำหรับแต่ละคนเป็นส่วนตัวก็คือคำถามที่ว่า มีการรักษาความสะอาดเป็นนิสัยในบ้านของเราเองไหม?

          ในหนังสือของเธอที่ชื่อการกำจัดความสกปรก (ภาษาอังกฤษ) ซูเอเลน ฮอยตั้งคำถามว่า “เราสะอาดอย่างที่เคยเป็นไหม?” เธอตอบว่า “คงจะไม่.” เธออ้างถึงค่านิยมทางสังคมที่เปลี่ยนไปว่าเป็นสาเหตุสำคัญ. เนื่องจากผู้คนใช้เวลาอยู่บ้านน้อยลงทุกที เขาเพียงแต่จ่ายเงินเพื่อให้คนอื่นทำความสะอาดให้เขา. เพราะฉะนั้น การรักษาสิ่งแวดล้อมให้สะอาดไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับตัวเองอีกต่อไป. ชายคนหนึ่งบอกว่า “ผมไม่ได้ทำความสะอาดห้องน้ำ ผมอาบน้ำให้ตัวเองสะอาด. อย่างน้อย แม้บ้านผมสกปรก แต่ตัวผมสะอาด.”

          อย่างไรก็ดี ความสะอาดมิใช่เป็นแค่ลักษณะภายนอกเท่านั้น. ความสะอาดเป็นหลักจรรยาครอบคลุมการดำเนินชีวิตที่มีสุขภาพดี. ความสะอาดยังเป็นสภาพของจิตใจและหัวใจที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรมและการนมัสการของเรา. ให้เราพิจารณาว่าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร.

ที่มา  :  http://wol.jw.org/th/wol/d/r113/lp-si/2002080


การปรังปรุงดูแลสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน

         การดูแลปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ในโรงเรียนเป็นหน้าที่ของทุกคนในโรงเรียนรวมทั้งตัวนักเรียนด้วย ควรจะมีส่วนร่วมและมีบทบาทไปตามหน้าที่และจิตสำนึกของตนเอง สำหรับสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนที่ดีและการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมมีดังนี้
1.ตัวอาคารเรียน ควรสะอาดไม่ว่าจะเป็นข้างฝา เพดาน พื้นควรปราศจากขยะ หมั่นปัดกวาดเช็ดถูอยู่เสมอ ข้างฝาต้องไม่ขีดเขียน เพดานไม่ควรมีหยากไย่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของนักเรียนที่ต้องช่วยกันดูแลทำความสะอาดในส่วนของห้องเรียน ส่วนพื้นที่ส่วนรวมก็เป็นหน้าที่ของนักการภารโรง ถ้าสีภายนอกอาคารเรียนและภายในดูทรุดโทรมก็ควรจะทาสีใหมและสีที่ใช้ควรเป็นสีสว่าง
2.โต๊ะ เก้าอี้และกระดานดำ โต๊ะเรียนต้องสะอาด นักเรียนไม่ควรขีดเขียน หรือใช้ยาลบคำผิดขีดเขียนลงบนโต๊ะ ถ้ามีก็ควรจะขัดและทาน้ำมันให้แลดูสะอาด รางชอล์กก็ควรสะอาดอย่าปล่อยให้ผงชอล์กมีอยู่ในรางชอล์ก
3.บรรยากาศภายในห้องเรียน ควรมีแสงสว่างเพียงพอต่อสายตาในการเขียนและการอ่าน มีการระบายอากาศดี อาจใช้พัดลมช่วยทำให้เย็นและระบายอากาศ
4.ห้องส้วมและที่ปัสสาวะ ห้องส้วม อาจมีทั้งภายในตัวอาคารและเป็นอาคารแยกต่างหาก ต้องรักษาความสะอาดของห้องส้วมและที่ปัสสาวะให้สะอาดอยู่เสมอ นักการภารโรงควรทำความสะอาดบ่อยๆ นักเรียนก็ควรช่วยกันรักษาความสะอาดด้วยเช่น หลังการใช้ควรราดส้วมให้สะอาด ไม่ทิ้งผ้าอนามัยลงในคอห่านหรือโถส้วมแต่ควรห่อกระดาษแล้วทิ้งลงในถังขยะ
5.โรงอาหาร ต้องจัดให้ถูกหลักการสุขาภิบาลเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการร้านค้าในโรงอาหาร จะต้องช่วยกันทั้งในส่วนของตนเองและส่วนร่วมนักเรียนที่ใช้บริการที่ี่โรงอาหารควรจะปฏิบัติตามกฏระเบียบของโรงเรียนเช่น นำภาชนะไปวางในที่ที่จัดไว้ให้ เข้าคิวเพื่อซื้ออาหาร ไม่ทำให้โต๊ะอาหารหรือพื้นเปื้อนเศษอาหาร เป็นต้น
6.การระบายน้ำ ต้องมีท่อระบายน้ำหรือรางระบายน้ำ เมื่อฝนตกแล้วน้ำไม่ท่วมขังและต้องไม่มีน้ำขังในรางระบายน้ำเพราะอาจเน่าเสียส่งกลิ่นเหม็นและเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงและสัตว์นำโรค
7.การกำจัดขยะมูลฝอย โรงเรียนต้องมีถังขยะที่เพียงพอนักเรียนเองก็ควรทิ้งขยะลงถัง ทิ้งให้เป็นที่เป็นทางและแยกขยะให้ถูก เพื่อง่ายแก่การกำจัด และควรปลูกฝังให้นักเรียนรักษาความสะอาด มีจิตใจที่รักความสะอาดทั้งต่อหน้าและลับหลัง
8.การรักษาความสะอาดโดยทั่วไปเป็นหน้าที่โดยตรงของนักการภารโรงแต่นักเรียนก็ควรช่วยรักษาความสะอาดด้วยนอกจากจะไม่ทิ้งขยะโดยไม่เลือกที่แล้ว ถ้ามีโอกาสก็ควรจะช่วย
ทำความสะอาดหรือร่วมพัฒนาความสะอาดของโรงเรียนด้วย

9.สนามกีฬาก็ควรช่วยกันรักษาความสะอาด และช่วยกันดูแลจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมไม่ควรนำอาหารเข้าไปรับประทานที่สนามกีฬา
10.สภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนโดยทั่วไป ควรปลูกต้นไม้ให้ร่มรื่น
ตามสภาพของโรงเรียนที่พอจะทำได้  มีการจัดสวนหย่อมจัดที่นั่งพักผ่อน
สำหรับนักเรียน ตลอดจนบรรยากาศต่างๆ ที่จะช่วยส่งเสริมสุขภาพกาย
และสุขภาพจิตของนักเรียนให้เข้ามาอยู่ในโรงเรียนแล้วมีความสุข 
อยากที่จะมาโรงเรียนเพราะชอบบรรยากาศของโรงเรียนและเกิดความรัก
ความภาคภูมิใจในโรงเรียน



ที่มา  :  http://songchai.rwb.ac.th/a13/13-3.htm














การรักษาความสะอาดในโรงเรียน

การรักษาความสะอาดในโรงเรียนโดยให้เด็กมีจิตสำนึกร่วมมือร่วมใจมุ่งให้เด็กเปลี่ยนพฤติกรรมจากการฝึกปฏิบัติด้วยวิธีการที่หลากหลายเลียนแบบจากตัวอย่างที่ดี มีพี่คอยแนะนำและสามารถบูรณาการใช้ในการเรียนการสอน ความสะอาดจะเกิดขึ้นและมีความรับผิดชอบในตัวเอง นำความพึงพอใจสู่สถานศึกษาและชุมชน

แนวปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมาย
1.สร้างจิตสำนึกโดยฝึกให้เด็กมีความรับผิดชอบ รักษาความสะอาด มีระเบียบวินัย
2.ฝึกปฏิบัติโดยใช้ขยะเป็นปุ๋ย วิธีเก็บโดยใช้ไม้เสียบ ใช้ผ้าชุบนำเช็ดถูพื้น ใช้ไม้กวาดทุกซอกทุกมุม ใช้เทียนไขผสมนำมันถูพื้น ใช้ผ้าสะอาดเช็ดถู
3.ประสานใจโดยทำเป็นตัวอย่าง พี่ปกครองน้อง บูรณาการการสอนในวิชาต่างๆโดยใช้ของเป็นสื่อปฏิบัติตามข้อตกลง
4.ผลสำเร็จ เด็กมีความรับผิดชอบในตนเอง เกิดคุณธรรม จริยธรรม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

ที่มา  :  https://www.gotoknow.org/posts/53434

การเขียนบทหนังสั้น



Image

          หนังสั้น คือ หนังยาวที่สั้น ก็คือการเล่าเรื่องด้วยภาพและเสียงที่มีประเด็นเดียวสั้น ๆ แต่ได้ใจความ ศิลปะการเล่าเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนิทาน นิยาย ละคร หรือภาพยนตร์ ล้วนแล้วแต่มีรากฐานแบบเดียวกัน นั่นคือ การเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นของมนุษย์หรือสัตว์ หรือแม้แต่อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นช่วงเวลาหนึ่งเวลาใด ณ สถานที่ใดที่หนึ่งเสมอ ฉะนั้น องค์ประกอบที่สำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ตัวละคร สถานที่ และเวลา
          สิ่งที่สำคัญในการเขียนบทหนังสั้นก็คือ การเริ่มค้นหาวัตถุดิบหรือแรงบันดาลใจให้ได้ ว่าเราอยากจะพูด จะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับอะไร ตัวเราเองมีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ อย่างไร ซึ่งแรงบันดาลใจในการเขียนบทที่เราสามารถนำมาใช้ได้ก็คือ ตัวละคร แนวความคิด และเหตุการณ์ และควรจะมองหาวัตถุดิบในการสร้างเรื่องให้แคบอยู่ในสิ่งที่เรารู้สึก รู้จริง เพราะคนทำหนังสั้นส่วนใหญ่ มักจะทำเรื่องที่ไกลตัวหรือไม่ก็ไกลเกินไปจนทำให้เราไม่สามารถจำกัดขอบเขตได้
          เมื่อเราได้เรื่องที่จะเขียนแล้วเราก็ต้องนำเรื่องราวที่ได้มาเขียน Plot (โครงเรื่อง) ว่าใคร ทำอะไร กับใคร อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร เพราะอะไร และได้ผลลัพธ์อย่างไร ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ข้อมูล หรือวัตถุดิบที่เรามีอยู่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนว่ามีแนวคิดมุมมองต่อชีวิตคนอย่างไร เพราะความเข้าใจในมนุษย์ ยิ่งเราเข้าใจมากเท่าไร เราก็ยิ่งทำหนังได้ลึกมากขึ้นเท่านั้น  และเมื่อเราได้เรื่อง ได้โครงเรื่องมาเรียบร้อยแล้ว เราก็นำมาเป็นรายละเอียดของฉาก ว่ามีกี่ฉากในแต่ละฉากมีรายละเอียดอะไรบ้าง เช่นมีใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ไปเรื่อย ๆ จนจบเรื่อง ซึ่งความจริงแล้วขั้นตอนการเขียนบทไม่ได้มีอะไรยุ่งยากมากมาย เพราะมีการกำหนดเป็นแบบแผนไว้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยาก มาก ๆ ก็คือกระบวนการคิด ว่าคิดอย่างไรให้ลึกซึ้ง คิดอย่างไรให้สมเหตุสมผล ซึ่งวิธีคิดเหล่านี้ไม่มีใครสอนกันได้ทุกคน ต้องค้นหาวิธีลองผิดลองถูก จนกระทั่ง ค้นพบวิธีคิดของตัวเอง

การเตรียมการและการเขียนบทภาพยนตร์

          การเขียนบทภาพยนตร์เริ่มต้นที่ไหน เป็นคำถามที่มักจะได้ยินเสมอสำหรับผู้ที่เริ่มหัดเขียนบทภาพยนตร์ใหม่ ๆ เช่น ควรเริ่มช็อตแรก เห็นยานอวกาศลำใหญ่แล่นเข้ามาขอบเฟรมบนแล้วเลยไปสู่แกแล็กซี่เบื้องหน้าเพื่อให้เห็นความยิ่งใหญ่ของจักรวาล หรือเริ่มต้นด้วยรถที่ขับไล่ล่ากันกลางเมืองเพื่อสร้างความตื่นเต้นดี หรือเริ่มต้นด้วยความเงียบมีเสียงหัวใจเต้นตึกตัก ๆ ดี หรือเริ่มต้นด้วยความฝันหรือเริ่มต้นที่ตัวละครหรือเหตุการณ์ดี เหล่านี้เป็นต้น บางคนบอกว่ามีโครงเรื่องดี ๆ แต่ไม่ทราบว่าจะเริ่มอย่างไร
          การเริ่มต้นเขียนบทภาพยนตร์ เราต้องมีเป้าหมายหลักหรือเนื้อหาเป็นจุดเริ่มต้นการเขียน เราเรียกว่าประเด็น (Subject) ของเรื่อง ที่ต้องชัดเจนแน่นอน มีตัวละครและแอ็คชั่น ดังนั้น นักเขียนควรเริ่มต้นจากจุดนี้พร้อมด้วยโครงสร้าง (Structure) ของบทภาพยนตร์
          ประเด็นอาจเป็นสิ่งที่ง่าย ๆ เช่น มนุษย์ต่างดาวเข้ามาเยือนโลกแล้วพลัดพลาดจากยานอวกาศของตน ไม่สามารถกลับดวงดาวของตัวเองได้ จนกระทั่งมีเด็ก ๆ ไปพบเข้าจึงกลายเป็นเพื่อนรักกัน และช่วยพาหลบหนีจากอันตรายกลับไปยังยานของตนได้ นี่คือเรื่อง E.T. – The Extra-Terrestrial (1982) หรือประเด็นเป็นเรื่องของนักมวยแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทที่สูญเสียตำแหน่งและต้องการเอากลับคืนมา คือเรื่อง Rocky III หรือนักโบราณคดีค้นพบโบราณวัตถุสำคัญที่หายไปหลายศตวรรษ คือเรื่อง Raider of the Lost Ark (1981) เป็นต้น
           การคิดประเด็นของเรื่องในบทภาพยนตร์ของเราว่าคืออะไร ให้กรองแนวความคิดจนเหลือจุดที่สำคัญมุ่งไปที่ตัวละครและแอ็คชั่น แล้วเขียนให้ได้สัก 2-3 ประโยค ไม่ควรมากกว่านี้ และที่สำคัญไม่ควรกังวลในจุดนี้ว่าจะต้องทำให้บทภาพยนตร์ของเราถูกต้องในแง่ของเรื่องราว แต่ควรให้มันพัฒนาไปตามแนวทางของขั้นตอนการเขียนจะดีกว่า
          สิ่งแรกที่เราควรฝึกเขียนคือต้องบอกให้ได้ว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร เช่น เรื่องเกี่ยวกับความดีและความชั่วร้าย หรือเกี่ยวกับความรักของหนุ่มชาวกรุงกับหญิงบ้านนอก ความพยาบาทของปีศาจสาวที่ถูกฆาตกรรม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความคิดที่ยังขาดแง่มุมของการเขียนว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป จึงต้องชัดเจนมากกว่านี้ โดยเริ่มที่ตัวละครหลักและแอ็คชั่น ดังนั้นประเด็นของเรื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญของจุดเริ่มต้นการเขียนบทภาพยนตร์   
          อย่างไรก็ตาม การเขียนบทภาพยนตร์สำหรับนักเขียนหน้าใหม่ ควรค้นหาสิ่งที่น่าสนใจจากสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวของนักเขียนเอง เขียงเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองรู้ ทำให้ได้รายละเอียดในเชิงลึกของเนื้อหา เกิดความจริง สร้างความตื่นตะลึงได้ เช่นเรื่องในครอบครัว เรื่องของเพื่อนบ้าน เรื่องในที่ทำงาน ของตนเอง เรื่องในหนังสือพิมพ์รายวัน เป็นต้น

ที่มา  :  www.thaishortfilm.com

ขั้นตอนสำหรับการเขียนบทภาพยนตร์

 1. การค้นคว้าหาข้อมูล (research)
เป็นขั้นตอนการเขียนบทภาพยนตร์อันดับแรกที่ต้องทำถือเป็นสิ่งสำคัญหลังจากเราพบประเด็นของเรื่องแล้ว จึงลงมือค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเสริมรายละเอียดเรื่องราวที่ถูกต้อง จริง ชัดเจน และมีมิติมากขึ้น  คุณภาพของภาพยนตร์จะดีหรือไม่จึงอยู่ที่การค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าภาพยนตร์นั้นจะมีเนื้อหาใดก็ตาม
2. การกำหนดประโยคหลักสำคัญ (premise)
หมายถึงความคิดหรือแนวความคิดที่ง่าย ๆ ธรรมดา ส่วนใหญ่มักใช้ตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นถ้า...” (what if) ตัวอย่างของ premise ตามรูปแบบหนังฮอลลีวู้ด เช่น เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ & จูเลียตเกิดขึ้นในนิวยอร์ค คือ เรื่อง West Side Story, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ดาวอังคารบุกโลก คือเรื่อง The Invasion of Mars, เกิดอะไรขึ้นถ้าก็อตซิล่าบุกนิวยอร์ค คือเรื่อง Godzilla, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ต่างดาวบุกโลก คือเรื่อง The Independence Day, เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ & จูเลียตเกิดขึ้นบนเรือไททานิค คือเรื่อง Titanic เป็นต้น
3. การเขียนเรื่องย่อ (synopsis)
คือเรื่องย่อขนาดสั้น ที่สามารถจบลงได้ 3-4 บรรทัด หรือหนึ่งย่อหน้า หรืออาจเขียนเป็น story outline เป็นร่างหลังจากที่เราค้นคว้าหาข้อมูลแล้วก่อนเขียนเป็นโครงเรื่องขยาย (treatment)
4. การเขียนโครงเรื่องขยาย (treatment)
เป็นการเขียนคำอธิบายของโครงเรื่อง (plot) ในรูปแบบของเรื่องสั้น โครงเรื่องขยายอาจใช้สำหรับเป็นแนวทางในการเขียนบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ บางครั้งอาจใช้สำหรับยื่นของบประมาณได้ด้วย และการเขียนโครงเรื่องขยายที่ดีต้องมีประโยคหลักสำหคัญ (premise)  ที่ง่าย ๆ น่าสนใจ
5. บทภาพยนตร์ (screenplay)
สำหรับภาพยนตร์บันเทิง หมายถึง บท (script) ซีเควนส์หลัก (master scene/sequence)หรือ ซีนาริโอ (scenario) คือ บทภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่อง บทพูด แต่มีความสมบูรณ์น้อยกว่าบทถ่ายทำ (shooting script) เป็นการเล่าเรื่องที่ได้พัฒนามาแล้วอย่างมีขั้นตอน ประกอบ ด้วยตัวละครหลักบทพูด ฉาก แอ็คชั่น ซีเควนส์ มีรูปแบบการเขียนที่ถูกต้อง เช่น บทสนทนาอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษฉาก เวลา สถานที่ อยู่ชิดขอบหน้าซ้ายกระดาษ ไม่มีตัวเลขกำกับช็อต และโดยหลักทั่วไปบทภาพยนตร์หนึ่งหน้ามีความยาวหนึ่งนาที
6. บทถ่ายทำ (shooting script)
คือบทภาพยนตร์ที่เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเขียน บทถ่ายทำจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมจากบทภาพยนตร์ (screenplay) ได้แก่ ตำแหน่งกล้อง การเชื่อมช็อต เช่น คัท (cut) การเลือนภาพ (fade) การละลายภาพ หรือการจางซ้อนภาพ (dissolve) การกวาดภาพ (wipe) ตลอดจนการใช้ภาพพิเศษ (effect) อื่น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเลขลำดับช็อตกำกับเรียงตามลำดับตั้งแต่ช็อตแรกจนกระทั่งจบเรื่อง
7. บทภาพ (storyboard)
คือ บทภาพยนตร์ประเภทหนึ่งที่อธิบายด้วยภาพ คล้ายหนังสือการ์ตูน ให้เห็นความต่อเนื่องของช็อตตลอดทั้งซีเควนส์หรือทั้งเรื่องมีคำอธิบายภาพประกอบ เสียงต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี เสียงประกอบฉาก และเสียงพูด เป็นต้น ใช้เป็นแนวทางสำหรับการถ่ายทำ หรือใช้เป็นวิธีการคาดคะเนภาพล่วงหน้า (pre-visualizing) ก่อนการถ่ายทำว่า เมื่อถ่ายทำสำเร็จแล้ว หนังจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งบริษัทของ Walt Disney นำมาใช้กับการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนของบริษัทเป็นครั้งแรก โดยเขียนภาพ      เหตุการณ์ของแอ็คชั่นเรียงติดต่อกันบนบอร์ด เพื่อให้คนดูเข้าใจและมองเห็นเรื่องราวล่วงหน้าได้ก่อนลงมือเขียนภาพ ส่วนใหญ่บทภาพจะมีเลขที่ลำดับช็อตกำกับไว้ คำบรรยายเหตุการณ์ มุมกล้อง และอาจมีเสียงประกอบด้วยการเขียนบทภาพยนตร์จากเรื่องสั้น

การเขียนบทอาจเป็นเรื่องที่นำมาจากเรื่องจริง เรื่องดัดแปลง ข่าว เรื่องที่อยู่รอบ ๆ ตัว นวนิยาย   เรื่องสั้น หรือได้แรงบันดาลใจจากความประทับใจในเรื่องราวหรือบางสิ่งที่คนเขียนบทได้สัมผัส เช่น ดนตรี บทเพลง บทกวี ภาพเขียน และอื่น ๆ ซึ่งบทภาพยนตร์ต่อไปนี้ได้แปลมาจากเรื่องสั้นในนิตยสาร The Mississippi Review โดย Robert Olen Butler เรื่อง Salem แต่ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงมาตรฐานรูปแบบการเขียนบทภาพยนตร์ว่ามีการเขียนและการจัดหน้าอย่างไร ขอให้ศึกษาได้ใบทภาพยนตร์โดยทั่วไป


ที่มา  :  http://www.moralmedias.net/index.php?option=com_content&task=view&id=33&Itemid=39

ความรู้เกี่ยวกับการทำภาพยนตร์สั้น

ขั้นตอนสำหรับการเขียนบทภาพยนตร์
1. การค้นคว้าหาข้อมูล (research)
          เป็นขั้นตอนการเขียนบทภาพยนตร์อันดับแรกที่ต้องทำถือเป็นสิ่งสำคัญหลังจากเราพบประเด็นของเรื่องแล้ว จึงลงมือค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเสริมรายละเอียดเรื่องราวที่ถูกต้อง จริง ชัดเจน และมีมิติมากขึ้น  คุณภาพของภาพยนตร์จะดีหรือไม่จึงอยู่ที่การค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าภาพยนตร์นั้นจะมีเนื้อหาใดก็ตาม
2. การกำหนดประโยคหลักสำคัญ (premise)
          หมายถึงความคิดหรือแนวความคิดที่ง่าย ๆ ธรรมดา ส่วนใหญ่มักใช้ตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นถ้า…” (what if) ตัวอย่างของ premise ตามรูปแบบหนังฮอลลีวู้ด เช่น เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ &จูเลียตเกิดขึ้นในนิวยอร์ค คือ เรื่อง West Side Story, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ดาวอังคารบุกโลก คือเรื่อง The Invasion of Mars, เกิดอะไรขึ้นถ้าก็อตซิล่าบุกนิวยอร์ค คือเรื่อง Godzilla, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ต่างดาวบุกโลก คือเรื่อง The Independence Day, เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ &จูเลียตเกิดขึ้นบนเรือไททานิค คือเรื่อง Titanic เป็นต้น
3. การเขียนเรื่องย่อ (synopsis)
          คือเรื่องย่อขนาดสั้น ที่สามารถจบลงได้ 3-4 บรรทัด หรือหนึ่งย่อหน้า หรืออาจเขียนเป็น story outline เป็นร่างหลังจากที่เราค้นคว้าหาข้อมูลแล้วก่อนเขียนเป็นโครงเรื่องขยาย (treatment)
4. การเขียนโครงเรื่องขยาย (treatment)
          เป็นการเขียนคำอธิบายของโครงเรื่อง (plot) ในรูปแบบของเรื่องสั้น โครงเรื่องขยายอาจใช้สำหรับเป็นแนวทางในการเขียนบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ บางครั้งอาจใช้สำหรับยื่นของบประมาณได้ด้วย และการเขียนโครงเรื่องขยายที่ดีต้องมีประโยคหลักสำคัญ (premise)  ที่ง่าย ๆ น่าสนใจ
 5. บทภาพยนตร์ (screenplay)
          สำหรับภาพยนตร์บันเทิง หมายถึง บท (script) ซีเควนส์หลัก (master scene/sequence)หรือ ซีนาริโอ (scenario) คือ บทภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่อง บทพูด แต่มีความสมบูรณ์น้อยกว่าบทถ่ายทำ (shooting script) เป็นการเล่าเรื่องที่ได้พัฒนามาแล้วอย่างมีขั้นตอน ประกอบ ด้วยตัวละครหลักบทพูด ฉาก แอ็คชั่น ซีเควนส์ มีรูปแบบการเขียนที่ถูกต้อง เช่น บทสนทนาอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษฉาก เวลา สถานที่ อยู่ชิดขอบหน้าซ้ายกระดาษ ไม่มีตัวเลขกำกับช็อต และโดยหลักทั่วไปบทภาพยนตร์หนึ่งหน้ามีความยาวหนึ่งนาที
6. บทถ่ายทำ (shooting script)
          คือบทภาพยนตร์ที่เป็นขั้นาดภาพ (wipe) ตลอดจนการใช้ภาพพิเศษ (effect) อื่น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเลขลำดับช็อตกำกับเรียงตามลำดับตั้งแต่ช็อตอนสุดท้ายของการเขียน บทถ่ายทำจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมจากบทภาพยนตร์ (screenplay) ได้แก่ ตำแหน่งกล้อง การเชื่อมช็อต เช่น คัท (cut) การเลือนภาพ (fade) การละลายภาพ หรือการจางซ้อนภาพ (dissolve) การกวตแรกจนกระทั่งจบเรื่อง
7. บทภาพ (storyboard)
          คือ บทภาพยนตร์ประเภทหนึ่งที่อธิบายด้วยภาพ คล้ายหนังสือการ์ตูน ให้เห็นความต่อเนื่องของช็อตตลอดทั้งซีเควนส์หรือทั้งเรื่องมีคำอธิบายภาพประกอบ เสียงต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี เสียงประกอบฉาก และเสียงพูด เป็นต้น ใช้เป็นแนวทางสำหรับการถ่ายทำ หรือใช้เป็นวิธีการคาดคะเนภาพล่วงหน้า (pre-visualizing) ก่อนการถ่ายทำว่า เมื่อถ่ายทำสำเร็จแล้ว หนังจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งบริษัทของ Walt Disney นำมาใช้กับการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนของบริษัทเป็นครั้งแรก โดยเขียนภาพ      เหตุการณ์ของแอ็คชั่นเรียงติดต่อกันบนบอร์ด เพื่อให้คนดูเข้าใจและมองเห็นเรื่องราวล่วงหน้าได้ก่อนลงมือเขียนภาพ ส่วนใหญ่บทภาพจะมีเลขที่ลำดับช็อตกำกับไว้ คำบรรยายเหตุการณ์ มุมกล้อง และอาจมีเสียงประกอบด้วย

ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น
+ ขั้นที่หาองค์ประกอบด้านวิธีการ คือ หลักการ การวางแผน การถ่ายทำ การตัดต่อ การประเมินผล
+ ขึ้นที่2   หาองค์ประกอบด้านบุคลากร คือ บุคลากรในหน้าที่ต่างๆตั้งแต่ ตัวละคร บุคคลทางเทคนิค รวมไปถึง ผู้มีความสามารถเฉพาะครับ จะดีมากๆ และอีกอย่างคือทีมเวิคครับ
+ ขั้นที่3   เตรียมการผลิต คือ วางแผน เตรียมสถานที่ บท อุปกรณ์ ให้ครบ
+ ขั้นที่4    บทหนัง คือ วางบท คำพูด ระยะเวลาสถานที่ เรื่องราวที่จะสื่อออกมา  เรื่องบทนี้จะมีหลายแบบ
บทแบบสมบูรณ์  ประมาณว่า เก็บทุกรายละเอียดทุกคำพูดครับ
บทแบบอย่างย่อ ประมาณว่า เปิดกว้างๆให้ผู้ชมสังเกตในความเข้าใจของตนเอง
บทแบบเฉพาะ
บทแบบร่างกำหนด
+ ขั้นที่5    การผลิตอย่างแรกเลย แต่ละฉากคุณต้องเลือกมุมกล้องให้เหมาะสม กับสภาพอากาศ ขนาดวัตถุ ว่าควรเห็นแค่ไหน  ขนาดมุมกล้องมีหลายแบบนะเยอะมาก ผมพูดรวมๆละกัน มีแบบ ระยะไกลมาก ระยะไกล ระยะปานกลาง ระยะใกล้
+ ขั้นที่6   ค้นหามุมกล้อง
มุมคนดู ประมาณว่า เป็นมุมถ่ายจากรอบนอกของฉากนั้นๆครับ เหมือนผู้ชมเป็นคนสังเกตฉากนั้นๆ
มุมแทนสายตา
มุมพ้อยออฟวิว มุมนี้แนะนำให้ใช้เยอะๆครับ สวยมากมุมนี้ในการทำหนัง เป็นมุมที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ครับ เช่น การถ่ายข้ามไหล่ของตัวละคร หรือวัตถุ ครับ
 + ขั้นที่7   การเคลื่อนไหวของกล้อง
การแพน การทิลท์ ประมาณว่า การทำเคลื่อนไหวกล้องให้เห็นตำแหน่งวัตถุนั้นสัมพันกันครับ
การดอลลี่ การติดตามการเคลื่อนไหวเลยครับ
การซูม เป็นการเปลี่ยนองค์ประกอบภาพครับ เหมือนเน้นความสนใจในจุดๆหนึ่ง
+ ขั้นที่8   เทคนิคการถ่าย เอาเป็นว่าจับกล้องให้มั่นนะครับ อย่างผมก็จะจับ แบบกระชับกับตัวเลย คือแขนทั้งสองข้างแนบตัวเลยครับและก็ไม่แนะนำให้เคลื่อนไหวกล้องแบบรวดเร็วนะครับ กล้องจะปรับโฟกัสไม่ทัน ทำให้ภาพเบลอครับ
+ ขั้นที่9    หลังการผลิต ก็ต้องตัดต่อ เพิ่มเสียง เอ็ฟเฟก ความคมชัด ความเด่นชัดเรื่อง อักษรหนังสือ
+ ขั้นที่10   การตัดต่อ  
- อย่างแรกเลยครับจัดลำดับภาพ และเวลาให้ตรงและเหมาะสม อันไหนเกินยาวก็ให้ตัดทิ้งครับอย่าให้ขัดอารมณ์
- อย่างสองคือจัดภาพให้เหมาะสม เนื้อหาและโครงเรื่องที่เราวางไว้ครับ
- อย่างสามแก้ไขข้อบกพร่องครับ
- อย่างสี่ เพิ่มเทคนิคให้ดูสวยงาม

เทคนิคการถ่ายวีดีโอ

download

          ปัจจุบันกล้องวีดีโอมีอยู่หลายประเภท เช่น แบบ Handycam(กล้องขนาดเล็ก)  กล้องแบบมืออาชีพ(ขนาดใหญ่) แต่หลักการและเทคนิคการถ่ายจะเหมือนๆกัน   ก่อนอื่นเรามาทราบถึงประเภทของสื่อที่ใช้บันทึกภาพของกล้องวีดีโอก่อนว่าปัจจุบันมีอยู่กี่แบบ
1.แบบใช้ม้วนเทป  ปัจจุบันเหลือเพียง miniDV   เป็นส่วนใหญ่
2.แบบใช้แผ่น  ซึ่งจะใช้แผ่น mini DVD เป็นตัวเก็บข้อมูล
3.แบบใช้ Hard Disk ปัจจุบันมีให้เลือกหลายขนาดของความจุ เช่น 30 GB, 60 GB ต้น
4.แบบใช้ Memory card  เช่น SD,  Memory Stick, XDcard  เป็นต้น
เทคนิคการถ่าย
1. อย่าถ่ายแช่นานเกินไป
2.อย่ายกกล้องไปมาแทนสายตา
3.ถ้าเหตุการณ์นั้นยังไม่สิ้นสุด อย่าหยุดถ่ายกลางคัน
4.อย่าZoom หรือ Pan ขณะถ่าย บ่อยเกินไป
5.หาจุดจบที่ทำให้สนใจ
6.พยายามมองหาจุดที่น่าสนใจรอบๆตัวเพื่อจะได้ไม่พลาดเหตุการณ์สำคัญ
หลักการง่ายๆแค่นี้ ท่านก็จะได้ภาพที่ดูดี ระดับมืออาชีพแล้ว
7. ถือกล้องให้นิ่ง อย่าสั่น เทคนิคง่ายๆคือกลั้นหายใจ หรือหายใจเบาๆ ขณะที่กด record
เทคนิคการถ่ายวีดีโอให้นิ่งที่สุด โดยไม่ใช้ขาตั้งกล้อง


dvd810

         ส่วนใหญ่แล้วช่างภาพวีดีโอมือสมัครเล่นทั่วไป จะชอบถือกล้องในแบบที่ถนัดที่สุด แบบที่สบายที่สุด และแบบที่ถือแล้วไม่เมื่อย แต่มุมมองที่ออกมา ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แถมภาพสั่นยังกะอยู่ในคลื่นกลางทะเล วิธีที่จะทำให้วีดีโอนั้นไม่สั่นก็ต้องใช้ขาตั้งกล้องนะครับ ขาตั้งกล้องช่วยได้มากทีเดียว และต้องเป็นหัวแพนด้วย ถ้าเป็นหัวบอล ใช้สำหรับกล้องถ่ายภาพนิ่งนะครับ แต่ถ้าเกิดว่าเราไปเที่ยว ถือแค่กล้องถ่ายวีดีโอไปตัวเดียว ไม่อยากเอาขาตั้งกล้องไปด้วย มันใหญ่และเกะกะมาก ผมมีเทคนิคเล็กๆน้อยๆครับ ที่จะทำให้ได้มุมมองที่สวย และจับถือได้นิ่งมากๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้องเลย ขั้นตอนแรกนะครับ ให้ท่านจับกล้องด้วย 2 มือ กุมกล้องไว้ในมือทั้ง 2 จากนั้นยืดแขนออกไปให้สุด เพื่อฟิตกล้ามเนื้อก่อน ซัก 3-5 รอบ แล้วก็เอากล้องมาชิดที่หน้าท้อง ติดหน้าท้องเลยนะครับ ดันให้แน่นๆ เสยมุมกล้องขึ้นบนนิดหน่อยพอสวยงาม จากนั้นก็บิดจอ LCD ขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้มองเห็นจอภาพถนัดๆ จากนั้นก็กด Record ได้เลย ในระหว่างที่ถ่ายอยู่ ต้องใช้มือทั้ง 2 ที่กุมกล้องอยู่ ดันกล้องให้ติดหน้าท้องนะครับ รับรองได้ว่า วีดีโอที่ออกมา สวยและนิ่งใช้ได้เลยครับ แต่ถ่ายไปนานๆ จะรู้สึกเมื่อยนะครับ เพราะต้องกดกล้องเข้าหาหน้าท้องตัวเองอยู่ตลอดเวลา หากถ่ายนานๆใช้ขาตั้งหรือโต๊ะ หรือหาอะไรที่มันพอจะวางกล้องได้มันจะดีกว่านะครับ ลองเอาเทคนิคนี้ไปประยุกต์ใช้กันดู หวังว่าคงจะมีประโยชน์สำหรับสมาชิกทุกท่านครั

download (1)


การเขียนบทภาพยนตร์จากเรื่องสั้น

การเขียนบทอาจเป็นเรื่องที่นำมาจากเรื่องจริง เรื่องดัดแปลง ข่าว เรื่องที่อยู่รอบ ๆ ตัว  นวนิยาย   เรื่องสั้น หรือได้แรงบันดาลใจจากความประทับใจในเรื่องราวหรือบางสิ่งที่คนเขียนบทได้สัมผัส เช่น ดนตรี บทเพลง บทกวี ภาพเขียน และอื่น ๆ หรืออะไรที่ทำให้เกิดความคิด จินตนาการ การสร้างสรรค์ คือการนำเรื่องราวมาประสมประสานกันให้เป็นเรื่องขึ้นมา ความพยายามเท่านั้นทำให้เกิดความสำเร็จ  ขอให้ศึกษาในบทภาพยนตร์ต่อไป

ที่มา  :  https://joynaka23.wordpress.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A0/